เป็นอะไรที่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กๆจากทั่วโลกอยากที่จะเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลสิงคโปร์ เพราะNUSหนึ่งในมหาลัยรัฐได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1ของเอเชีย และ 8 ของโลกใน Qs World Ranking
วุฒิที่จะสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรัฐในสิงคโปร์ สำหรับนักเรียนที่เรียนที่สิงคโปร์ ในภาครัฐ คือ Singapore Cambridge GCE A-Level
วันนี้จะพูดถึงแค่นักเรียนวุฒิ A-level เท่านั้นค่ะ

วุฒิ Singapore Cambridge GCE A-Level เด็กส่วนใหญ่ที่จบและได้รับวุฒินี้มักเป็นเด็กที่จบจาก Junior Colleges (JC) โดยเด็กระดับชั้น JC2 จะทำการสอบ A level ประมาณปลายปี ปกติการสอบจะสิ้นสุดเดือนพย.ประกาศผลสอบประมาณเดือนกพ.ของปีถัดไป พอประกาศผลปุ๊บก็เริ่มสมัคร U ได้เลย จะทยอยทราบผลภายในเดือนพค. (สำหรับเด็กต่างชาติจะทราบผลภายในเดือนกค.)
มาทราบถึงประวัติของหลักสูตร Cambridge กันหน่อยนะคะ ย้อนไปปี 1892 SG ได้มีความสัมพันธ์กับ British-based examination group และได้ใช้การสอบวัดระดับของ Cambridge ที่ SG เป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้น SG ยังอยู่ภายใต้การปกครองอาณานิคมอังกฤษ
ต่อมาในปี 2002 เมื่อ MOE ของ SG ได้เข้ามาบริหารจัดการการสอบระดับชาติเอง เพราะเห็นว่าระบบการศึกษาของสองประเทศแตกต่างกัน จึงจัดให้มีหลักสูตรของตนเอง แต่ก็ยังอิงทาง Cambridge จะเห็นได้ว่ายังมีการส่งข้อสอบไปที่ Cambridge ตรวจอยู่ อย่างที่เราเคยได้ข่าวว่ามีคนตรวจที่อังกฤษทำข้อสอบระดับชาติที่เด็ก SG ทำส่งไปให้ตรวจหล่นหายเมื่อหลายปีก่อน เหตุที่ต้องแยกหลักสูตรออกมาเอง เพราะเด็ก SG หลายคนทำผลสอบได้ดีมากจนการวัดระดับทำได้ยาก หรือพูดง่ายก็คือ ได้ A กันง่ายจนแยกกลุ่มเด็กเก่งไม่ออก ทาง SG จึงขอวัดระดับเอง (และก็เป็นที่ยอมรับกันว่าหลักสูตรที่ SG จัดการเองนั้นก็เข้มข้นกว่าของ UK มาก)
ต่อมาในปี 2010 ทาง Cambridge อังกฤษก็คงเห็นเหมือนกันว่ามีเด็กทำข้อสอบได้เกรด A มากเช่นกัน จึงมีการแบ่งระดับเด็กที่เก่งกว่าเพิ่มขึ้นอีก 1 ระดับ เรียกว่าระดับ A star (A) ปัจจุบัน สำหรับ SG Cambridge จัดให้เกรด A เป็นระดับคะแนนสูงสุด คือทำข้อสอบของ SG A Level ได้ 70%-75% ขึ้นไป ขณะที่ UK Cambridge ระดับ A จะเป็นเกรดสูงสุด เป็นคนที่ทำข้อสอบ UK A Level ได้คะแนนเกิน 90% ขึ้นไป (ดังนั้น สำหรับนรต่างชาติที่ดูตาราง Indicative Grade Profile (IGP) ที่ U ประกาศออกมาให้ทราบในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นคะแนนชี้นำในการเลือกคณะที่เรียน หากเรียนในหลักสูตร UK A level อยู่ ก็มักจะเทียบคะแนนเท่ากับเกรด A* เท่ากับเกรด A ของ SG A level เพราะถือเป็นคะแนนสูงสุดของทั้งคู่)
คะแนนในการสมัครเข้าเรียน
สำหรับคะแนนในการสมัครสอบเข้าแต่ละคณะ เมื่อนร JC ได้ผลสอบ A level ของตนเองแล้ว ก็มักจะมาดู Admission – Indicative Grade Profile (IGP) https://www.nus.edu.sg/oam/admissions/indicative-grade-profile เพื่อดูความเป็นไปได้ที่คะแนนที่ตนมีพอจะสมัครเข้าคณะใดใน U ใดได้บ้าง โดยมักจะดูที่สัดส่วน 10% ของคนอันดับท้ายเป็นหลัก หรือแปลว่าคนที่ได้คะแนนเข้าต่ำสุดของปีการศึกษาที่ผ่านมาเป็นเท่าไร ถ้าได้คะแนนสูงกว่าก็มีโอกาสสมัครเข้าเรียนได้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการอิงเกณฑ์เช่นนี้จะได้ผลถูกต้องเสมอไปเพราะแต่ละปีแนวโน้มความสนใจแต่ละคณะก็จะมีต่างกันไป บางทีคะแนน 10% ท้ายของปีที่ผ่านมา ปีนี้อาจจะเข้าไม่ได้แล้วก็ได้
ถ้าดูจาก IGP คะแนนของ SG Cambridge A level จะแสดงเป็น 3 เกรด/1 เกรด เช่น AAA/A, ABC/A, BBC/D, …. ความหมายของเกรดเหล่านี้ได้มาจากคะแนนสอบของ 4 วิชา อักษร 3 ตัวแรกจะเป็นคะแนนของวิชาระดับ H2 คือระดับมาตรฐาน อักษรหลังเครื่องหมายทับ จะเป็นวิชาระดับ H1 คือมีความยากของข้อสอบต่ำกว่าระดับ H2 ประมาณครึ่งหนึ่ง
นอกจาก 4 ตัวอักษรที่เห็นแล้วยังมีอีก 2 วิชาที่นักเรียนระดับ JC จะต้องวัดผลด้วยคือวิชา General Paper (GP) และวิชา Project Work (PW) ที่จัดอยู่ในระดับ H1 ในตาราง IGP จะไม่ได้แสดง แต่ให้คำนวณ 2 วิชาบนฐานที่ว่าระดับคะแนนของ 2 วิชานี้อยู่ที่ระดับ C
สรุปว่าเด็ก JC จะมึคะแนนสอบทั้งหมด 6 วิชา เป็น H2 3 วิชา H1 3 วิชา ทั้ง 6 วิชาจะถูกนำมาคำนวณเป็นอันดับคะแนน Rank Points (RP) หรือ โดย H2 มีคะแนนเต็ม 20 คะแนน ส่วน H1 คะแนนเต็ม 10 คะแนน รวมคะแนนเต็ม 90 คะแนน (อันนี้ขอไม่พูดถึงการที่สามารถเอาคะแนนวิชาภาษาแม่ หรือ mother tongue language (MTL) เข้ามาคำนวณด้วย เพราะส่วนใหญ่เด็กไทยจะไม่ได้ลงวิชานี้ รวมถึงวิธีการเลือกลงวิชาเรียนที่เด็กส่วนใหญ่ทำกัน เพราะจะมีรายละเอียดอีกค่อนข้างมาก)
นอกจากวิชาระดับ H2 แล้ว ยังมีวิชาระดับ H3 อีก ซึ่งจะเป็นวิชาเลือกไม่บังคับเรียน เป็นวิชาระดับ advance ที่เน้นการวิจัย และบางวิชาเป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัย (NUS, NTU, SMU) การจะลงเรียนได้ต้องได้รับการอนุมัติจากโรงเรียนว่าเด็กมีความสามารถทางวิชาการพอที่จะเรียนเพิ่มได้ เป็นวิชาที่ไม่มีคะแนน จะไม่ถูกนำมาใช้ในการคำนวณ RP (ผลสอบที่นรส่วนใหญ่มักจะได้รับ คือ merit หรือ distinction) เป็นวิชาที่ช่วยในการพิจารณาขอทุนหรือเพิ่มคุณสมบัติให้เด่นกว่าคนอื่นในการสมัครเข้า U หรืออาจเป็นกรณีที่ต้องการศึกษาต่อต่างประเทศเช่น Cambridge ที่ต้องการวิชา H3 โดยต้องมีคะแนนอย่างต่ำระดับ merit
การเปลี่ยนแปลงจาก 90RP เป็น 70RP
จากที่เล่าข้างต้น การศึกษา SG เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปีนี้2024ก็จะเป็นปีแรกที่เด็กนร JC จะพบกับหลักสูตร A level ที่เปลี่ยนแปลงไป คือ นรรุ่นที่เข้าเรียน JC1 ปีนี้ และจะสอบ A level ในปีหน้า จะถูกใช้เกณฑ์การสมัครเข้าเรียน หรือ University Admission Score ใหม่ คือจากเดิมที่เป็น AAA/A + GP + PW (รวม 90RP) จะเปลี่ยนเป็นเหลือ H2 แค่ 3 วิชา ยังคงวิชา GP ไว้อีก 1 วิชา (รวมวิชาที่จะนำมาคิดคะแนน 4 วิชา หรือ 70RP) วิชา PW ยังคงเรียนอยู่แต่จะไม่มีคะแนน แต่หากจะเรียนต่อที่ SG U จะต้องสอบให้ผ่าน (วิชา MTL ยังคงใช้เกณฑ์คำนวณเดิม คือถ้าเรียนก็สามารถเอาคะแนนมาปรับคะแนน (prorate) เพิ่มได้ โดยคะแนนเต็มยังอยู่ที่ 70RP และหากสนใจจะเรียนวิชา H1 เพิ่มก็สามารถทำได้ วิชา H1 จะนำมาคำนวณคะแนน prorate เพิ่มได้หากช่วยให้คะแนนรวมดีขึ้น แต่ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องนำมาคิด)

รวบรวมความเห็นจากการปรับเปลี่ยนคะแนนรวมลงเหลือเพียง 70RP
- การที่คะแนนเข้า U เหลือแค่ 70RP หมายความว่าจะมีการแข่งขันเข้า U กันมากขึ้น เพราะน่าจะมีคนที่สอบได้ 70RP เป็นจำนวนมาก (น่าจะมากกว่าคนที่ได้ 90RP แบบเดิม) ซึ่งก็หมายความว่าเด็กที่สมัครเข้าจะต้องสร้างแฟ้มผลงานให้โดดเด่นกว่าคนอื่น เพื่อให้ตนมีโอกาสได้รับการตอบรับจาก U มากขึ้น
- การเรียนเพียง 3 H2 จะทำให้นักเรียนต้องมุ่งทำคะแนนแต่ละวิชาให้ดีเพิ่มมากขึ้น เพราะคะแนนที่นำมาคำนวณเหลือเพียง 3 วิชา ในขณะที่แบบเดิมใช้ 5 วิชามาคำนวณ (3H2, 1H1, 1PW)
- ถึงจะไม่บังคับลง H1 คิดว่ายังมีหลายคนที่เลือกลงวิชาเพิ่ม เพราะมีโอกาสนำวิชา H1 มา weight คะแนน RP เพิ่ม แต่ก็ต้องแลกกับการเสียเวลาดูหนังสือเพิ่มอีก 1 วิชา
- รูปแบบใหม่ จะทำให้นร.จะต้องพยายามสร้าง portfolio สร้าง profile หรือหากิจกรรมทำเพิ่ม เพื่อให้ตนดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ทำให้ทาง U เห็นว่ามีคุณสมบัติโดยองค์รวม (holistic) ที่ดี ไม่ใช่แค่เก่งทางด้านวิชาการ
- วิชา H3 น่าจะมีบทบาทมากขึ้น มีคนลงเรียนเพิ่มขึ้น เพื่อสร้าง profile
- เข้มข้นขนาดนี้ ก็เป็นบทสรุปได้ว่าเด็กไทยที่จะสมัครเข้า SG U คงต้องเตรียมตัวเตรียมอาวุธกันน่าดูแหละค่ะ เก่งวิชาการอย่างเดียวคงไม่พอ คงต้องแนบกิจกรรมเด่น (ระดับชาติ) ประดับด้วยงานช่วยเหลือสังคม แบบคำที่ที่ SG ชอบใช้ คือ holistic education